วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

ประติมากรรมสมัยสุโขทัย




ประติมากรรมสมัยสุโขทัย


อาณาจักรสุโขทัย เริ่มประกาศตนเป็นอิสระพ้นจากอำนาจขอมราวพุทธศตวรรษที่ 18 โดยพ่อขุนศรีอิทราทิตย์ประกาศตั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี ประติมากรรมของสุโขทัยนั้นถือว่าเป็นศิลปะไทยที่มีคุณค่าทางศิลปะและสุทรีย์ภาพสูง โดยเฉพาะพระพุทธรูปสมัยสุโขทัย ถือว่าเป็นความงามเป็นเลิศยิ่งกว่าพระพุทธรูปสมัยใด ๆ โดยเฉพาะพระพุทธรูปปางลีลา เป็นพระพุทธรูปที่มีลักษณะเฉพาะของสุโขทัย เป็นประติมากรรมที่งดงามไม่น้อยกว่าประติมากรรมชั้นเอกอื่น ๆ ของโลก
พระพุทธรูปที่นิยมสร้างในสมัยสุโขทัย คือ พระพุทธรูป 4 อิริยาบถ ได้แก่ นั่ง นอน ยืน เดิน และนิยมสร้างพระพุทธรูปลอยตัวด้วยสำริด พระพุทธรูปสำริดของสุโขทัยที่ปรากฏเป็นหลักฐานมาจนปัจจุบัน ได้แสดงให้เห็นความสามารถในการหล่อสำริดว่ามีความชำนาญและมีความสามารถอย่างยิ่ง
นอกเหนือจากพระพุทธรูปสำริดแล้ว ในสมัยสุโขทัยยังนิยมทำประติมากรรมปูนปั้นด้วย มีทั้งที่เป็นพระพุทธรูปประดับอาคารสถาปัตยกรรม เช่น พระพุทธรูปนูนสูงปางลีลาที่วัดตระพังทองหลาง เมืองสุโขทัยเก่า เป็นพระพุทธรูปนูนสูงปางลีลาสวนที่สุดแห่งหนึ่ง ส่วนประติมากรรมปูนปั้นที่ทำเป็นลายประดับตกแต่งมีอยู่ทั่วไป และถือว่ามีความงดงามมากแห่งหนึ่งคือลวดลายปูนปั้นประดับพระอุโบสถวัดนางพญา ศรีสัชนาลัยจังหวัดสุโขทัย สำหรับพระพุทธรูปสุโขทัยที่สลักด้วยศิลาก็ทำเหมือนกันแต่ไม่มาก
ประติมากรรมสมัยสุโขทัยที่เกี่ยวกับพุทธศาสนาอีกประเภทหนึ่งคือพระพิมพ์ มีทั้งพระพิมพ์ดินเผาและพระพิมพ์โลหะ โดยเฉพาะพิมพ์ปางลีลา หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า พระกำแพงเขย่ง ( เขย่ง คือ ลีลา กำแพงคงจะมาจากชื่อเมืองกำแพงเพชร ) นับเป็นประติมากรรมขนาดเล็กที่สันนิษฐานกันว่าอาจจะเป็นต้นเค้าของพระพุทธรูปลอยตัวปาลลีลาของสุโขทัยก็ได้
นอกจากนี้ในสมัยสุโขทัยยังมีการทำประติมากรรมที่เกี่ยวกับพุทธศาสนาที่น่ากล่าวถึง คือ การสร้างพระพุทธบาท ด้วยสิลาและสำริด และภาพลายแกะสลักเพดานหินในอุโมงค์มณฑปวัดศรีชุม นอกเมืองสุโขทัย และเพดานไม้แกะสลักปรางค์วัดพระศรีรัตมหาธาตุ ศรีสัชนาลัย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถของการแกะสลักในสมัยสุโขทัยได้เป็นอย่างดี
ในสมัยสุโขทัยมีการสร้างเทวรูปสำริด เช่น รูปพระอิศวร พระอุมา พระนารายณ์ พระพรหม เป็นต้น เพราะในสมัยโบราณนั้น พระเจ้าแผ่นดินมักจะต้องอุปถัมภ์ศาสนาพราหมณ์ เพื่อประกอบพระราชพิธีต่าง ๆ จึงจำเป็นต้องหล่อเทวรูปขึ้นสำหรับพิธีกรรม
สมัยสุโขทัยมีการทำเครื่องเคลือบดินเผาอย่างแพร่หลาย ที่เรียกว่า เครื่องสังคโลก จนถึงกับเป็นสินค้าออกไปขายยังประเทศใกล้เคียงได้ การทำเครื่องเคลือบดินเผานี้บางอย่างถือเป็นประติมากรรม เช่น การปั้นตุ๊กตาเด็กเล่น การปั้นเศียรนาค และเครื่องตกแต่งอาคาร โบสถ์ วิหาร เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นประติมากรรมที่มีกรรมวิธีในการสร้างแตกต่างไปจากการหล่อสำริด การสลักหินและการปั้นปูน ดังกล่าวแล้ว
อย่างไรก็ตามประติมากรรมสุโขทัยมีความก้าวหน้าทั้งในด้านรูปแบบทางศิลปะ และกรรมวิธีในการสร้างโดยเฉพาะพระพุทธรูปสำริดปางลีลา ซึ่งถือว่าเป็นประติมากรรมชั้นเยี่ยมของสุโขทัย หรือแม้พระพุทธรูปอื่น ๆ ก็ตาม ล้วนมีเอกลักษณ์ที่เด่นชัดแสดงให้เห็นความสามรถอันสูงของประติมากรในยุคสมัยนั้น
ประติมากรรมสุโขทัยมีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 19 – 20 หรือประมาณ พ.ศ. 1780 – 1981


แบบอย่างของประติมากรรมสมัยสุโขทัยแบ่งเป็น 4 ยุค คือ

ยุคที่ 1 ประติมากรรมยุคนี้ยังแสดงอิทธิพลของศิลปะลพบุรีที่เห็นได้ชัด คือ ภาพปูนปั้นลวดลายประดับประตูรั้วทางเข้าองค์ปรางค์วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ การสร้างพระพุทธรูปในยุคนี้มีแบบเฉพาะเป็นของตนเองที่เรียกกันว่า "แบบวัดตระกวน" เป็นพระพุทธรูปแบบเชียงแสน ลังกา และสุโขทัย ผสมผสานกัน พระพักตร์กลม พระรัศมีเป็นแบบลังกา พระวรกายและชายสังฆาฏิสั้นแบบเชียงแสน

ยุคที่ 2 ในยุคนี้ฝีมือการสร้างประติมากรรมของช่างไทยเชี่ยวชาญขึ้น พัฒนารูปแบบการสร้างพระพุทธรูปจนก่อเกิดรูปพุทธลักษณะอันงดงามของสกุลช่างสุโขทัยเอง ยังเป็นศิลปะสุโขทัยแบบบริสุทธิ์ ในยุคนี้มีการสร้างพระพุทธรูปไว้มากมายตั้งแต่พระพุทธรูปขนาดใหญ่ เช่น พระอัฏฐารส พระอัจนะ จนถึงพระบูชาขนาดเล็ก และพระพิมพ์ นอกจากนี้ยังมีพระพุทธรูปนูนต่ำนูนสูงประดับภายในซุ้มมณฑปหรือพระเจดีย์เป็นจำนวนมาก สมดังศิลาจารึกหลักที่ 1 กล่าวไว้ว่า "กลางเมืองสุโขทัยนี้มีพิหาร มีพระพุทธรูปทอง มีพระอัฏฐารส มีพระพุทธรูปอันใหญ่ มีพระพุทธรูปอันราม " พระพุทธรูปสุโขทัยไม่นิยมสลักหิน แม้จะเป็นพระพุทธรูปขนาดสลักหิน นิยมปั้นด้วยปูนหรือหล่อด้วยโลหะมีค่าต่างๆ รวมทั้งทองคำบริสุทธิ์ ลักษณะพระพุทธรูปสุโขทัยยุคนี้ คือ พระพักตร์รูปไข่ พระขนงโก่ง พระนาสิกงุ้ม พระโอษฐ์อมยิ้มเล็กน้อย พระเศียรสมส่วนกับพระศอและพระอังสา หมวดพระเกศาเล็ก พระรัศมีเป็นเปลว พระอุระผายสง่า พระอังสาใหญ่กว้าง พระถันโปน ปั้นพระองค์เล็ก ครองจีวรห่มเฉียง ชายจีวรยาวจรดมาถึงพระนาภี ปลายเป็นลายเขี้ยวตะขาบ พระกรเรียวดุจงาช้าง นิ้วพระหัตถ์และนิ้วพระบาททำแบบธรรามชาติ ดุจมีชีวิต ฐานเป็นหน้ากระดานเกลี้ยง ปางที่นิยมคือ ปางมารวิชัย และปางลีลา องค์พระพุทธรูปปางลีลาที่งดงามปัจจุบันประดิษฐานที่ระเบียงคด วัดเบญจมบพิตร

ยุคที่ 3 การปั้นพระพุทธรูปยุคนี้พัฒนาไปจากศิลปะสุโขทัยแบบบริสุทธิ์ มีความประณีต มีระเบียบและกฎเกณฑ์มากขึ้น พระรัศมีเป็นเปลวมีขนาดใหญ่ขึ้น พระพักตร์รูปไข่สั้น พระอุณาโลมเป็นตัวอุหงายระหว่างหัวพระขนง พระวรกายมีความอ่อนไหวน้อยลง พระอาการสงบเสงี่ยมแลดูนิ่งสงบขึ้น พระกรยาว นิ้วพระหัตถ์ทั้งสี่เสมอกัน ฝ่าพระบาทเรียบสั้น พระบาทยาว พระพุทธรูปที่สำคัญๆ ในยุคนี้ คือ พระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ พระศรีศาสดา และพระศรีศากยมุนี เป็นต้น

ยุคที่ 4 เป็นยุคที่ประติมากรรมสมัยสุโขทัยถูกกลืนไปกับอิทธิพลของศิลปสมัยอยุธยาเมื่อราชวงศ์พระร่วงสิ้นสุดลงในพ.ศ. 1981 นับเป็นยุคสุโขทัยเสื่อม แม้มีการสร้างศิลปะในชั้นหลังก็เป็นสกุลศิลปะเล็กๆ พระพุทธรูปมีลักษณะกระด้างขึ้นทั้งอิริยาบท และทรวดทรง มักสร้างพระพุทธรูปยืน พระสำคัญในยุคนี้เช่น พระอัฎฐารส วัดสระเกศ กรุงเทพมหานคร สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงแบ่งแบบอย่างพระพุทธรูปซึ่งสร้างในสมัยสุโขทัยเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่หนึ่ง มักทำดวงพระพักตร์กลมตามแบบพระพุทธรูปลังกา เช่น พระอัฏฐารสในวิหารวัดสระเกศ กลุ่มที่สอง เมื่อฝีมือช่างเชี่ยวชาญขึ้นคิดแบบใหม่ ทำดวงพระพักตร์ยาว พระหนุเสี้ยม เช่นพระร่วงโรจนฤทธิ์ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเชิญไปไว้ที่พระปฐมเจดีย์ และพระสุรภีพุทธพิมพ์ที่เป็นพระประธานอยู่ในพระอุโบสถวัดปรินายก พระพุทธรูปที่สร้างแบบนี้มีมากกว่ากลุ่มแรก กลุ่มที่สามสันนิษฐานว่าเห็นจะเป็นในรัชกาลพระมหาธรรมราชาพญาลิไทย ซึ่งในตำนานกล่าวว่า ทรงเป็นพระราชธุระบำรุงกิจในพระศาสนายิ่งกว่าในรัชกาลก่อนๆ โปรดให้เสาะหาช่างที่มีฝีมือดีทั้งในอาณาเขตลานนาและอาณาเขตข้างฝ่ายใต้มาประชุมปรึกษากัน และทรงสอบสวนหาหลักฐานพุทธลักษณะในคัมภีร์พระไตรปิฎกประกอบ จึงเกิดแบบพระพุทธรูปสมัยสุโขทัยขึ้นอีกอย่างหนึ่ง เช่น พระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ ดวงพระพักตร์เป็นทำนองผลมะตูมคล้ายแบบอินเดียเดิมแต่งามยิ่งนัก และแก้พุทธลักษณะแห่งอื่น เช่น ทำปลายนิ้วพระหัตถ์ยาวเสมอกันทั้งสี่นิ้ว เป็นต้น แบบพระพุทธรูปเช่นนี้ทำกันแพร่หลายขึ้นไปจนถึงเมืองเหนือ และลงมาข้างใต้ แต่ที่ทำได้งามเหมือนองค์พระพุทธรูปที่เป็นต้นตำรามีน้อย
พระพุทธรูปปางต่างๆ ที่ทำในสมัยสุโขทัย ดูเหมือนจะไม่มีทำพระปางอย่างอินเดีย มีปางพุทธอิริยาบท คือ พระนั่ง พระนอน พระยืน พระเดิน พระนั่งทำปางมารวิชัยกับสมาธิ นั่งขัดสมาธิราบทั้งสองอย่าง พระนอนไม่ถือว่าเป็นปางนิพพานอย่างอินเดีย พระยืนมีแต่ปางประทานอภัย ยกพระหัตถ์ข้างเดียวบ้างสองข้างบ้าง สมมุติเรียกกันว่า ปางห้ามสมุทรและปางห้ามญาติ พระเดินไม่ถือว่าเป็นปางเสด็จลงจากดาวดึงส์ ไม่ทำปางพระกรีดนิ้วพระหัตถ์แสดงเทศนา พระพุทธรูปแบบสุโขทัยทำชายจีวรยาว พระรัศมีเป็นเปลว พระแบบที่สร้างสอลกลุ่มแรกนิ้วพระหัตถ์ไม่เท่ากันทั้งสี่นิ้ว แบบบัวรองพระพุทธรูปเป็นอย่างสุโขทัยไม่เหมือนกับบัวเชียงแสน จากหลักฐานที่พบในเมืองสวรรคโลก สุโขทัย และกำแพงเพชร ชั้นเดิมสร้างเป็นพระก่อแล้วปั้นประกอบเป็นพื้น มาถึงชั้นกลางและชั้นหลังจึงชอบสร้างพระหล่อ ข้อนี้มีที่สังเกตตามวัดในเมืองศรีสัชนาลัย และเมืองสุโขทัย นอกจากนี้ที่เป็นวัดสำคัญ พระประธานที่เป็นพระปั้นยังอยู่โดยมาก แต่วัดสำคัญในเมืองพิษณุโลก สุโขทัย และกำแพงเพชร มักไม่มีพระประธานเหลืออยู่ ด้วยเป็นพระหล่อเชิญมาไว้ที่กรุงเทพ ฯ ในสมัยรัตนโกสินทร์โดยมาก เช่น พระศรีศากยมุนีที่พระวิหารวัดสุทัศน์ พระพุทธชินสีห์ที่วัดบวรนิเวศ และพระอัฏฐารส ที่วิหารวัดสระเกศ เป็นต้น พระพิมพ์ก็ชอบสร้างในสมัยสุโขทัยเหมือนสมัยอื่น แต่แปลงมาเป็นพระพุทธรูปตามคติหินยาน ทำต่างพุทธอิริยาบท มักชอบทำพระลีลา เรียกกันสามัญว่า "พระเขย่ง" อีกอย่างหนึ่งก็ทำเป็นพระนั่ง แต่หลาย ๆ สิบองค์ในแผ่นพิมพ์อันหนึ่ง ในพ.ศ. 2494 หลวงบริบาลบุรีภัณฑ์และนาย A.B. Griswold ได้แบ่งหมวดหมู่พระพุทธรูปสุโขทัยออกเป็น 5 หมวด คือ 1. หมวดใหญ่ตรงกับหมวดชั้นกลางที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงกล่าวไว้ จัดเป็นแบบที่งามที่สุด 2. หมวดกำแพงเพชร ลักษณะเหมือนหมวดใหญ่ พระพักตร์สอบจากตอนบนลงมาหาตอนล่างมาก พบสร้างมากที่กำแพงเพชร 3. หมวดพระพุทธชินราช ตรงกับหมวดที่สามที่ทรงกล่าว 4. หมวดพิษณุโลกชั้นหลัง ลักษณะทรวดทรงยาว แบบจืดและแข็งกระด้าง จีวรแข็ง มักทำพระยืน เป็นพระพุทธรูปสุโขทัยชั้นหลัง เมื่อตกเป็นประเทศราชของกรุงศรีอยุธยาแล้ว 5. หมวดเบ็ดเตล็ด หมายถึงพระพุทธรูปแบบสุโขทัยซึ่งเข้ากับ 4 หมวดข้างต้นไม่ได้ รวมทั้งแบบวัดตระกวนซึ่งมีลักษณะเป็นพระเชียงแสน ลังกา และสุโขทัย ผสมกัน แบบวัดตระกวนนี้อาจจัดเข้าอยู่ในหมวดชั้นแรกซึ่งมีวงพระพักตร์กลม

ไม่มีความคิดเห็น: